ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์
ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์
เผยแพร่เมื่อ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘
ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์” — มหาเถรสมาคม ในการประชุมเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ มีมติรับทราบพระราชดำริ ดังนี้ ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีหนังสือที่ พว. ๐๒๐๒.๒/๑๐๖๐๙ ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ กราบทูล สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกเพื่อทรงทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเลื่อนพระอิสริยยศเฉลิมพระนามพระอัฐิพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์” นับเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์ที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
โดยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า เป็นพระยศสูงสุดสำหรับสมเด็จพระสังฆราชแห่งราชอาณาจักรไทย
สำหรับคำนำพระนาม สมเด็จพระมหาสมณเจ้า นั้นคือคำนำพระนามพระมหาสมณะที่ประสูติในพระบรมราชวงศ์ และเสด็จสถิตในพระอิสริยฐานันดรศักดิ์ชั้นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ คือเป็นพระราชโอรสของพระมหากษัตริย์ หรือพระราชนัดดาของพระมหากษัตริย์ที่ได้รับสถาปนาเป็นกรณีพิเศษ ส่วนสมเด็จพระสังฆราชเจ้า โดยหลักจะสถาปนาจากสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระกำเนิดเป็นพระอนุวงศ์ชั้นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระวรวงศ์เธอ หม่อมเจ้า หรือสามัญชนที่ทรงพระคุณูปการส่วนพระองค์ เช่น เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ พระราชกรรมวาจาจารย์ หรือทรงพระราชศรัทธาเป็นพิเศษ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายกนานถึง ๑๖ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๔ ในรัชกาลที่ ๖ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๐ ในรัชกาลที่ ๘ ทรงพระคุณูปการแก่พระบวรพุทธศาสนาและประเทศชาติอย่างยิ่ง เสด็จสถิตเป็นที่พึ่งแห่งพระบรมราชวงศ์และพุทธศาสนิกชน และทรงเป็นหลักของพุทธศาสนจักรที่ยึดเหนี่ยวจิตใจตลอดมา
ทรงเป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พระองค์ที่ ๒ เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) และในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) เมื่อครั้งทรงผนวช เป็นที่ทรงเคารพบูชายิ่งของพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ และทรงเป็นพระอุปัชฌายะของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ (วาสนมหาเถร) พระราชอุปัธยาจารย์ในรัชกาลปัจจุบัน นับเนื่องถึงรัชกาลปัจจุบัน จึงทรงเป็นพระบูรพาจารย์ในทางธรรม กล่าวคือเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระราชอุปัธยาจารย์
ในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสถาปนาเป็น “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า” ทรงกรมที่ “กรมหมื่น” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ ครั้นถึงรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเลื่อนเป็น “กรมหลวง” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙
พระกรณียกิจสำคัญคือ ทรงพระอุตสาหะรับเป็นประธานชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ สนองพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทั่งสำเร็จบริบูรณ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งยังทรงพระนิพนธ์พระคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา พจนานุกรมภาษาบาลีแปลเป็นไทยฉบับปฐม
นอกจากนี้ ทรงดำรงตำแหน่งนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัย และทรงจัดตั้งมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยเมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๖ เป็นรากฐานแห่งการศึกษาทางพระพุทธศาสนาในระดับสูงและการบริหารจัดการศาสนสมบัติอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งเป็นต้นกำเนิดของสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย จนพัฒนามาเป็นมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยในปัจจุบัน นอกจากนี้ ทรงพระกรุณาโปรดให้มีการสอบธรรมศึกษาสำหรับคฤหัสถ์ เปิดให้มีการศึกษาพระพุทธศาสนาสู่พุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป
ทั้งนี้ ปรากฏต้นฉบับเอกสารลายพระหัตถ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ (พระราชบิดาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗) อนุสนธิพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีพระบรมราชวินิจฉัย ในการเฉลิมพระอิสริยยศ เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระที่กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชนิยมให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ ที่ทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก มีคำนำพระนามว่า “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า” ทุกพระองค์
สมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์นั้นทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ โดยเสด็จสถิตเป็นที่พึ่งแห่งพระบรมราชวงศ์และพุทธศาสนิกชน นำพาราชอาณาจักรและพุทธจักรให้วัฒนาสถาพรมาได้โดยสวัสดี
ตราบกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ ในรัชกาลที่ ๘ ทั้งนี้ ลายพระหัตถ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ที่ทรงรจนาพระนามกรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ได้เก็บรักษาไว้ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นเวลานานกว่า ๙๐ ปี
มหาเถรสมาคมในการประชุมเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ได้พิจารณาว่า บัดนี้ จะบรรจบอภิลักขิตสมัย ๑๐๐ ปีนับแต่การพระราชทานเลื่อนเป็น “กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์” และมีมติให้จัดงานเฉลิมพระเกียรติ ด้วยทรงพระคุณูปการทั้งด้านการปกครองคณะสงฆ์ การศึกษา และการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงสมควรขอพระราชทานถวายสำเนาเอกสารลายพระหัตถ์เพื่อขอรับพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยในโอกาสอันสมควร
อนึ่ง วันพุธ ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ จะบรรจบอภิลักขิตสมัย ๑๐๐ ปีนับแต่วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และ ๑๐๐ ปีวันเสด็จขึ้นทรงราชย์แห่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ในฐานะวัดประจำรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๗ ซึ่งได้รับพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอดรัชสมัย กับทั้งเป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารในรัชกาลที่ ๗ จึงเห็นสมควรจัดพิธีบำเพ็ญพระกุศลอุทิศถวายทั้งสองพระองค์ การนี้ นับเป็นโอกาสพิเศษที่จะได้สืบสานพระบรมราชปณิธานในรัชกาลที่ ๗ โดยที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงสถิตในที่พระราชกรรมวาจาจารย์ในรัชกาลที่ ๖ และในรัชกาลที่ ๗ ดังที่ปรากฏในสร้อยพระนามตอนหนึ่งว่า “ไทวภราดรมหาราชาภินิษกรมณาจารย์” ดังที่กล่าวมาแล้ว และประจวบด้วยอภิลักขิตสมัย ๑๐๐ ปีแห่งการพระราชทานเลื่อนกรมเป็น “กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์” และได้นำความกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชทราบฝ่าพระบาทแล้ว
บัดนี้ ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีหนังสือที่ พว. ๐๒๐๒.๒/๑๐๖๐๙ ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ กราบทูลสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเลื่อนพระอิสริยยศเฉลิมพระนามพระอัฐิ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระราชกรรมวาจาจารย์ในรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗ และสกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ ๑๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ขึ้นเป็น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์” และสร้อยพระนามตามที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ทรงรจนาไว้ เนื่องในโอกาส ๑๐๐ ปีนับแต่วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และ ๑๐๐ ปีวันเสด็จขึ้นทรงราชย์แห่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ จะมีขึ้นในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๘ และประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามจัดถวาย ในวันอังคาร ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๘ (อันเป็นวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์) และทรงยกเบญจปฎลเศวตฉัตร ถวายกางกั้นพระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้าซึ่งประดิษฐาน ณ ซุ้มคูหาพระเจดีย์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ภายหลังจากการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗
รูปภาพและบทความต่าง ๆ ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของมูลนิธินี้ อนุญาตให้ทุกท่านสามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้ เพื่อประโยชน์ในการแบ่งปันความรู้และข้อมูล กรุณาระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาจากเว็บไซต์ของมูลนิธิ